๖๐๓. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯนำ คณะกรรมการและองค์กรสมาชิก ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔

วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น.ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ นำคณะกรรมการสภาสตรีแห่งชาติฯ ประกอบด้วย ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี รองประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ และคณะกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯและองค์กรสมาชิก ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติฯ

๖๐๒. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เข้มแข็งhttps://mgronline.com/politics/detail/9630000132196

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน 1,000 คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ดำเนินการระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ดร.วันดี กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน
ดร.วันดี กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)
จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป

แหล่งที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9630000132196
เรียบเรียง : ฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติฯ

๖๐๑. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี ยกระดับบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” สร้างความสุขสร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน https://region.siamrath.co.th/bkk/Bangkok/27856

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน 1,000 คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ดำเนินการระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ดร.วันดี กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน
ดร.วันดี กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)
จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป
แหล่งที่มา: สยามรัฐ https://region.siamrath.co.th/bkk/Bangkok/27856
เรียบเรียง : ฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติฯ

๖๐๐. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เข้มแข็ง ยกระดับบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน อย่างยั่งยืน https://local.amarintv.com/bkk/Bangkok/27856

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน 1,000 คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ดำเนินการระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ดร.วันดี กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน
ดร.วันดี กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)
จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป
แหล่งที่มา: https://local.amarintv.com/bkk/Bangkok/27856
เรียบเรียง : ฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการบริหาร สภาสตรีห่งชาติฯ

๕๙๙. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี “Change for good” สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจัดการหนี้ สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/politics

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน 1,000 คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ดำเนินการระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ดร.วันดี กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน
ดร.วันดี กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)
จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป
แหล่งที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์
เรียบเรียง : ฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมการบริหาร

๕๙๘. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เข้มแข็งhttps://mgronline.com/politics/detail/9630000132196

ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เข้มแข็ง ยกระดับบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน อย่างยั่งยืน

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน 1,000 คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ดำเนินการระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี



ดร.วันดี กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน

ดร.วันดี กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)

จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน

ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป

แหล่งที่มา: เผยแพร่: ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เรียบเรียง : ฝ่ายประชาสัมพันธ์คณะกรรมกรบริหารสภาสตรีแห่งชาติ

๕๙๗. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ขอบคุณ องค์กรสมาชิก และภาคีเครือข่าย ตลอดจนพี่น้องประชาชน ที่ร่วมกันชื่นชม อุดหนุนสินค้าจากฝีมือคนไทย ในงาน “OTOP City 2020 “

วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมถ์ ได้กล่าวขอบคุณ ท่านรองประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ คณะกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหาร ท่านนายกองค์กร กรรมการ พร้อมด้วยสมาชิก และภาคีเครือข่าย ที่ร่วมกันชื่นชม อุดหนุนสินค้าจากฝีมือคนไทย มอบความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของคนไทย ช่วยเศรษฐกิจฐานรากไทยเข้มแข็ง ” ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน “OTOP City 2020” โดยมีมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ให้ผู้มาเที่ยวชมงานได้เลือกซื้อสินค้า ได้ของถูกใจ ได้ช่วยเศรษฐกิจฐานรากไทยเข้มแข็ง ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๑ – ๓ อิมแพค เมืองทองธานี

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯ

๕๙๖ .ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ปลุกพลังสตรี สร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เข้มแข็ง ยกระดับบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน อย่างยั่งยืน

วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน บรรยายพิเศษหัวข้อ “การสร้างมูลค่าเพิ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและการบริหารจัดการหนี้” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลัง สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พร้อมด้วย ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจาก ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวน ๑,๐๐๐ คน โดยโครงการในครั้งนี้เป็น รุ่นที่ ๒ ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวว่า “นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2559-2560 โดยกำหนดการเริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เขตภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม และเขตภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้วยพระเมตตาของทั้งสองพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรชาวไทยที่ใช้ภูมิปัญญารวมกลุ่มกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะผ้าไทยได้มีช่องทางการตลาด จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพื้นที่ ให้พี่น้อง OTOP ทุกจังหวัดในภาคพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และทอดพระเนตรบูธผลิตภัณฑ์ OTOP โครงการจัดแสดงและจำหน่ายภูมิปัญญา OTOP เชิงบูรณาการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภาคเหนือ และทรงร่วมกิจกรรมสาธิตของกลุ่มอาชีพ เป็นประจำทุกวัน ทุกคนต่างชื่นชมในพระจริยวัตรที่งดงามและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างในการฉลองพระองค์ด้วยผ้าไทย ทรงลงพระนามาภิไธย ทรงลงอักษรชื่อร้าน ตลอดจนทรงร่วมในกิจกรรมการสาธิตอย่างไม่ถือพระองค์ ยังความรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มาสู่ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้รับโอกาสอันดีนี้ สร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่าล้านบาท

มิ่งมงคลยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนั้น คือ พระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่จะรักษาและสานต่อพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดการประกอบพระราชกรณียกิจกว่า 60 ปี ผ้าไทยจึงสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นพี่น้องสตรีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงมีโอกาสเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมผ้าไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรผลงานที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ 3 ภูมิภาค นำมาสู่นิทรรศการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค โดยนิทรรศการจัดแสดงผลงานการรังสรรค์ผ้าไทยที่ทรงมีพระวินิจฉัย ในการออกแบบสี ลวดลาย และการตัดเย็บบนผ้าย้อมครามลวดลายพระราชทาน และเสื้อผ้าที่ทรงร่วมกับดีไซน์เนอร์ชั้นนำของประเทศไทย ทั้งหมด 18 ชุด จึงขอเชิญชวนทุกท่านชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งจัดแสดงในงาน OTOP City 2020 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และทรงพระราชทานของขวัญปีใหม่แก่วงการผ้าไทยและพี่น้องชาวไทย คือ ลายมัดหมี่พระราชทาน ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ที่ทุกลวดลายเปี่ยมไปด้วยความหมาย อาทิ ลาย S หมายถึง Sirivannavari ลาย S จำนวน 10 แถว หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกคน Eternity Love โดยเป็นผลงานจากพระราชวินิจฉัยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปยังกลุ่มทอผ้าครามบ้านดอนกอย อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ทรงร่วมทอด้าย ปั่นด้าย ย้อมคราม ทอผ้ากับประชาชนอย่างใกล้ชิด และทรงออกแบบโดยไม่ละอัตลักษณ์ประจำถิ่นเดิม เพื่อเป็นการจุดประกายความคิดในการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้ร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากลเพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวต่อไปว่า เรื่องน่ายินดีประการต่อมา คือ ผลงานความสำเร็จชิ้นโบว์แดง ที่สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้สนองงานสืบสานพระราชปณิธาน ดำเนินโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งได้จับมือกับกรมการพัฒนาชุมชน ลงนาม MOU ร่วมกับ 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ในการสวมใส่ผ้าไทย และผลักดันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย จนเป็นมติคณะรัฐนมตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ทั้งนี้จึงเป็นการสร้างคุณค่าผ้าไทย กระตุ้นให้เกิดการใส่การใช้ผ้าไทย ผ้าไทยที่ต้องการมากขึ้น จากความสำเร็จนี้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และกรมการพัฒนาชุมชน จะร่วมการขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องราวผ้าอัตลักษณ์ประจำถิ่นให้เกิดรูปธรรมในระยะต่อไป

ดร.วันดี ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุน” ในภาษาธุรกิจ คือ “เงินตั้งต้น” โดยวันนี้ในเรื่องของทุน ทุนที่ดี คือ การนำทุนไปประกอบกิจกรรมใดๆ จากความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่มีไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง ความหวังให้กับพี่น้องสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สตรีเข้าถึงแหล่งทุนหรือเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มละ 3 คน ด้วยวงเงินสูงสุดโครงการละ 200,000 บาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้โจทย์สำคัญในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอย่างไรให้มีความยั่งยืน สามารถช่วยเหลือลูกหลานต่อไปในอนาคต โดยปัจจุบันพบว่า มีการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งหมด 14,369,365,292.75 บาท ชำระคืน 9,849,695,838.30 บาท ซึ่งแบ่งกองทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนเดิมตั้งแต่ปี 2556-2559 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 52.51 % และกองทุนใหม่ปี 2560 – 2563 มีหนี้เกินกำหนดชำระจากหนี้คงเหลือทั้งหมด 12.99% รวมทั้งหมด 29.29 % (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)
จากข้อมูลที่ปรากฎปัจจุบันในรายภาคพบว่า ภาคกลาง จังหวัดเพชบุรีและภาคใต้ จังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอันดับ 1 ทำให้หนี้ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดให้กับพี่น้องสตรีสร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป โดยตัวแทนสตรี จังหวัดเพชรบุรี ของภาคกลางมีการบริหารจัดการหนี้ลดลง 4.61 % เนื่องจากเพชรบุรีมีหนี้ไม่มากนัก เป็นหนี้เก่าในระหว่างปี 2555-2556 ประมาณ 13% ในขณะที่ไม่มีหนี้ใหม่ และได้รับความกรุณาจากคณะทำงานจังหวัดได้ให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ พิจารณาอายุมีความเหมาะสมต่อการกู้หรือไม่ ตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้ลักษณะของสถานที่ประกอบการมีลักษณะเป็นการเช่าหรือเป็นเจ้าของ โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่นๆ มีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยต้องมีการวางแผนงานงบประมาณที่ชัดเจน ในความดูแลของเครือข่ายส่วนราชการต่างๆ และสร้างความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ในส่วนของจังหวัดตรัง มีการบริหารจัดการหนี้ลดลงได้เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ 7.39 % โดยอาศัยการบริหารงานด้วยการวางแผนร่วมกันระหว่างพัฒนาการจังหวัดและคณะทำงานขับเคลื่อนสตรีในทุกระดับ ต่อการบริหารจัดการกลุ่มหนี้เสีย โดยการเข้าไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากอะไร แล้วจึงนำปัญหาเหล่านั้นมาพูดคุย วางแผน ร่วมกันเพื่อเร่งติดตาม และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้อย่างยั่งยืน พวกเราต้องรวมพลัง จับมือกัน สร้างเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพกลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการสร้างพลังสตรีสู่การพัฒนาชุมชน เพื่อนำความรู้ไปช่วยในการสร้างจุดแข็ง เสริมจุดอ่อนในการบริหารจัดการหนี้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพเกิดความยั่งยืน และร่วมกันให้คำมั่นต่อพี่น้องสตรีในการติดตามการบริหารจัดการหนี้ค้างชำระสู่เป้าหมายร้อยละ 10 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการหนี้ ตามแนวทาง “Change for good” ต่อไป

แหล่งที่มา: กองประชาสัมพันธ์ กรมการพัฒนาชุมชน
เรียบเรียงข้อมูล: ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯ

๕๙๕ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ เชิญชวนองค์กรสมาชิกสภาสตรีแห่งชาติฯ และภาคีเครือข่าย อุดหนุนให้กำลังผู้ประกอบการ สินค้า OTOP วันสุดท้ายในงาน “ OTOP City ๒๐๒๐ “

วันที่ ๒๖ ธํนวาคม ๒๕๖๓ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ขอเชิญชวนองค์กรสมาชิก และคนไทยที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหาณคร ร่วมงาน “OTOP City 2020 “ ที่เป็นการรวมงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า มรดกภูมิปัญญาจากท้องถิ่น แพรพรรณงานผ้า ผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน มาจัดแสดงและจำหน่ายให้พี่น้องประชาชน เป็นของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าจากชุมชน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนจากภูมิปัญญาของคนไทย ที่คัดสรรจาก ๗๖ จังหวัด เพื่อประชาชนคนไทย สุขใจทั้งผู้ผลิต ผู้ให้ ผู้ที่ได้รับมอบของขวัญ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็งตามนโยบายของรัฐบาล

ในโอกาสนี้ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ขอขอบคุณ คณะกรรมการอำนวยการสมัยที่ ๒๖ คณะกรรมการบริหารสมัยที่ ๒๖ ท่านนายกองค์กร และสมาชิก สภาสตรีแห่งชาติฯ รวมทั้งภาคีเครือข่าย ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน มาสนับสนุนให้กำลังใจผู้ประกอบการ ในงาน” OTOP City ๒๐๒๐ “ พบกับของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ จากทุกภูมิภาค ราคาเดียวกันกับที่ท่านเดินทางไปในจังหวัดนั้นๆ อีกทั้งในงานได้รวมงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า มรดกภูมิปัญญาจากท้องถิ่น แพรพรรณงานผ้า ผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน มาจัดแสดงให้ได้ช้อปกันเป็นของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าจากชุมชน
นอกจากนี้ สำหรับมาตรการป้องกันโควิด-๑๙ ภายในงานได้ปฎิบัติตามกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ตามข้อสั่งการของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำชับให้คุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ โดยใช้มาตรการในการดูแล คัดกรอง ตามหลักเกณฑ์ ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙(ศบค.) และสาธารณสุข พร้อมขอให้องค์กรสมาชิกสภาสตรีแห่งชาติฯ และประชาชน สวมหน้ากากอนามัยตลอดงานอีกด้วย

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯ

๕๙๔. ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ เยี่ยม ให้กำลังใจผู้ประกอบการ ร้านค้าชุมชน ในงาน “OTOP City 2020 “

วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. ดร.วันดี กุญชรยาคงจุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์เยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกอบการ สินค้า Otop ในงาน” OTOP City 2020 “ ณ อาคาร Challenger ๑ - ๓ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ในโอกาสนี้ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชน และองค์กรสมาชิกของสภาสตรีแห่งชาติฯ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร มาสนันสนุนสินค้าในงาน” OTOP City 2020 “ พบกับของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ จากทุกภูมิภาค ราคาเดียวกันกับที่ท่านเดินทางไปในจังหวัดนั้นๆ อีกทั้งในงานได้รวมงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า มรดกภูมิปัญญาจากท้องถิ่น แพรพรรณงานผ้า ผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน มาจัดแสดงให้ได้ช้อปกันเป็นของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าจากชุมชน

” OTOP City 2020 “ วันที่ : ๑๙ – ๒๗ ธันวาคม 2563
เวลา : ๑๐.๐๐.- ๒๐.๐๐ น. สถานที่ : Challenger ๑ - ๓
อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯ